28 Jun ประสบการณ์เรียนป.เอก ในไต้หวัน จากพี่จุ๊บ PHD Candidate จากโปรแกรม International Health, NYCU อยากเรียนป.เอก สายวิทย์สุขภาพในไต้หวันต้องอ่าน !!
ถือว่าหาอ่านยากอย่างยิ่ง ! สำหรับการเรียนสายวิทย์สุขภาพระดับป.เอกในไต้หวัน ทำไมการเรียนป.เอกสายนี้ที่ไต้หวันน่าสนใจ และลองมาทำความรู้จักหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดสายนี้ในไต้หวันกัน !!

Orimos: สวัสดีครับพี่จุ๊บ เราอยากรบกวนพี่จุ๊บแนะนำตัวนิดนิดว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไต้หวัน แล้วก็เป็นใครมาจากไหน ?
Jub: ครับก็ชื่อจุ๊บนะครับ ชื่อจริงก็คือ ธนะวิชช์ ปานน้อย นะครับ ตอนนี้ก็ศึกษาระดับปริญญาเอกอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติหยางหมิงเจียวทง (National Yang Ming Chiao Tung University, ย่อ NYCU) สาขาที่ศึกษาอยู่ก็คือ International Health แต่ว่าเนื้อหาตัวที่ศึกษาอยู่จริงๆเนี่ยก็จะเป็นในเรื่องของนโยบายสุขภาพ แต่ว่าต้องบอกก่อนนะว่าทีสิสพี่นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนโยบายสุขภาพเลยนะ (หัวเราะ)
ส่วนตัวก่อนที่จะมาเรียนที่นี่ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์นะครับ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคใต้นะครับ จริงๆก็ยังเป็นอาจารย์อยู่นะครับ แล้วก็หลังเรียนจบก็คิดว่าน่าจะกลับไปเป็นอาจารย์ที่นั่นเหมือนเดิม
Orimos: น่าสนใจมากเลยครับ แต่ชื่อวิชาที่เรียนชื่อภาษาไทยจริงๆมันคืออะไรนะครับ ?
Jub: จริงๆมันก็ตั้งยากเหมือนกันนะครับ ถ้าให้พี่ตั้งแล้วก็ น่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพในระดับนานาชาตินะครับ คืออธิบายอย่างนี้ดีกว่าครับ ตัวขนาดที่พี่ก็เรียนมันอยู่ภายใต้คณะ Public Health หรือคณะสาธารณสุขนั่นเอง แล้วคณะสาธารณสุขที่มหาลัยพี่เนี่ยมันก็จะอยู่ภายใต้คณะแพทย์ศาสตร์อีกทีนึง โดยปกติคณะสาธารณสุขเอง เขาก็จะมีโปรแกรมปกติของเขานะครับก็คือปริญญาโทปริญญาเอกนั่นเอง แต่ว่าก็คือเป็นภาคภาษาจีน ส่วนของพี่นี่คือเป็นภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งในส่วนของการเรียนการสอนเกี่ยวกับสาธารณสุขศาสตร์นะครับ โปรแกรมนี้ของพี่เป็นโปรแกรมแรกที่เป็นโปรแกรมที่ใช้ภาษาอังกฤษในไต้หวันเลยนะครับ
Orimos: ถ้าจะให้เรียกสั้นๆมันก็เป็นอารมณ์สายวิทยาศาสตร์สุขภาพใช่ไหมครับ ?
Jub: ใช่ครับ ใช่ๆ
Orimos: แล้วอย่างนี้ทำไมพี่จุ๊บถึงเลือกมาเรียนระดับปริญญาเอกที่ไต้หวันครับ โดยเฉพาะยิ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์สุขภาพแล้วด้วย เพราะปกติคนที่มาเรียนไต้หวันในส่วนใหญ่เขาจะนิยมมาเรียนสายบริหารบ้างแหละ หรือสายวิศวะประมาณนี้ น้อยคนที่จะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ไต้หวัน ตอนนั้นเห็นผลที่พี่จุ๊บเลือกไต้หวันเพราะอะไรเอ่ย ?
Jub: ก็พูดกันตรงๆเลยนะครับ เหตุผลง่ายๆก็คือเป็นเพราะว่าพี่ได้ทุนนะครับ ทุนที่ว่านี้คือทุน icdf เนี่ยแหละ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าพูดอย่างนี้หมายความว่าได้ทุนแล้วต้องมาจำใจเรียนหรือเปล่า จริงๆพี่เนี่ยสมัครหลายประเทศ แล้วตอนนั้นไต้หวันก็เป็นตัวเลือกระดับรองๆลงมา เพราะว่าตอนนั้นพี่ก็กลัวว่ามันจะมีปัญหาเรื่องภาษาหรือเปล่า เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะมีหลักสูตรภาษาอังกฤษไหม ตอนนั้นเรายังไม่รู้ข้อมูลของไต้หวันอะไรมากมายนะครับ เพราะฉะนั้นเราก็สมัครไปเรื่อยนะครับ ตอนนั้นที่สมัครก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกันนะครับ จนเรามาเจอทุน icdf ซึ่งทุน icdf ก็มีหลักสูตรที่สนับสนุนก็คือเป็นหลักสูตร International Health นี่แหละครับ เราก็เลยเข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ครับ
แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยนะครับสำหรับคนที่อยากเรียนปริญญาเอก หลักสูตรมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าส่วนที่สำคัญมากกว่าก็คือในส่วนของอาจารย์หรือว่า advisor นั่นเองนะครับ ส่วนตัวพี่ไม่ได้มายเรื่องสถาบันอะไรมากมายนะครับ พี่จะเน้นในส่วนของความเชี่ยวชาญของอาจารย์ในสถาบันนั้นๆ หรือว่าในส่วนของวิจัยของสถาบันนั้นๆมากกว่า เพราะฉะนั้นเนี่ยตอนที่เรามาหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะนี้นะครับ เขาก็มีอาจารย์หรือว่าโปรเฟสเซอร์เนี่ยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่เราสนใจอยู่มากเลยทีเดียว เราก็เลยตัดสินใจสมัครทุนกับโปรแกรมนี้มาเลยครับ
Orimos: อย่างนี้แสดงว่าอาจารย์สายนี้ในไต้หวันเนี่ยเขาก็ค่อนข้างแน่นเหมือนกันเนาะ ?
Jub: เอาอย่างนี้ละกัน พี่ก็เคยแซวอาจารย์ที่คณะพี่ว่า เหมือนพี่มาอยู่ในดง ศิษย์เก่าของ Johns-Hopkins กับ Havard เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่จะมาจากสองที่นี่ทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) ดังนั้นสำหรับคนที่อยากเรียนปริญญาเอกนะครับ พี่อยากจะแนะนำว่าให้สนใจที่ตัวอาจารย์ที่เราอยากจะทำงานด้วยเป็นอันดับแรกนะครับ มากกว่าจะสนใจในชื่อเสียงของสถาบัน เพราะต่อให้สถาบันนั้น ranking สูงมากเลย แต่ว่าถ้าไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เราอยากจะทำ มันก็เปล่าประโยชน์นะครับ
Orimos: ถ้าอย่างนั้นโดยรวมเนี่ยสายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ไต้หวันถือเป็นสายที่น่าเรียนสายหนึ่งเลยใช่ไหมครับพี่จุ๊บ ?
Jub: ถูกต้องครับ เพราะโดยส่วนตัวพี่ว่า ไต้หวันในเรื่องของการบริการทางสาธารณสุขของเขาเนี่ยเป็นอันดับ 1 ของโลกนะครับ เพราะฉะนั้นที่ไต้หวันที่ติดเป็นตัวเลือกสำหรับพี่ตลอด ก็เพราะพี่รู้ถึงข้อเท็จจริงนี้นะครับว่าระบบบริการทางสาธารณสุขหรือว่าระบบสุขภาพเขาเนี่ยเป็นอันดับ 1 ของโลก อันนี้ก้องก็น่าจะมีประสบการณ์ตรงเนาะ เพราะว่าเคยเรียนที่นี่แล้วอาจจะได้เคยใช้ระบบของเขามาก่อน
นอกจากนั้นสิ่งที่ไต้หวันทำได้ยอดเยี่ยมมากๆเลยนะครับ ก็คือในเรื่องของ Big Data โดยเฉพาะเรื่องของ Big Data ทางด้านสาธารณสุข พี่ว่าโมเดลที่ไต้หวันในเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจ แล้วก็น่าที่จะเข้ามาศึกษาและเรียนรู้อย่างมากเลยครับ ที่นี้ในส่วนของวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ต้องเข้าแลปที่ต้องวิจัยนี้นะครับ เท่าที่พี่ได้ยินมาก็คือ เขาก็ค่อนข้างเข้มข้นเหมือนกันในเรื่องของการทำการศึกษา อย่างในตัวมหาลัยของพี่เนี่ย ถ้าไปดูใน Times Ranking ในส่วนของคะแนนตัววิจัยเนี่ยนะครับ สมมุติว่ามี 10 เรื่อง ในตัวของเรื่อง Impact ในของวิจัย จะอยู่ที่ประมาณ 80 ในขณะที่สถาบันเก่าแก่บางแห่งที่เมืองไทย เขาอาจจะต้องตีพิมพ์งานถึงประมาณ 80 เรื่อง ถึงจะได้คะแนนกับเท่าที่มหาลัยพี่ตีพิมพ์ไป 10 เรื่องนะครับ คืองานออกมาน้อยก็จริงเพราะว่าแต่ก่อนเนี่ยมหาวิทยาลัยค่อนข้างเล็กนะครับยังไม่ได้ควบรวมกับอีกที่หนึ่ง งานที่ออกมาแต่ละชิ้นเนี่ยก็มี Impact สูงมาก ซึ่งมันก็จะบ่งบอกถึงเรื่องของคุณภาพของการวิจัยและอาจารย์นะครับ
Orimos: พี่จุ๊บได้พูดถึงเรื่องของอาจารย์ก็ดี เรื่องเกี่ยวกับการวิจัยนะครับ แล้วในส่วนของอุปกรณ์หรือว่า facilities ต่างๆในการเรียนน่ะครับ ถ้าเทียบกับที่ไทยเป็นยังไงบ้างครับ ?
Jub: ถ้าพูดในส่วนของภายนอกนะครับ ก็ต้องพูดตรงๆว่าตึกเรียนของที่นี่อาจจะไม่ได้สวยงาม เหมือนจุฬา มหิดล ธรรมศาสตร์นะครับ แต่พี่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของมหาวิทยาลัยที่ไต้หวันนะครับที่ตัว Infrastructure ต่างๆเนี่ยมันเป็นในแบบ Traditional ซะมากกว่า แต่ในเรื่องการดูแลนักศึกษาต่างชาติ พี่ต้องพูดเลยนะว่าเขาดูแลได้ดีมาก จะมีหน่วยงานดูแลนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะนะครับ
Orimos: จริงครับพี่จุ๊บ เพราะว่าก้องเองก็รู้สึกเหมือนกันว่ามหาลัยในไต้หวันที่มีคณะอินเตอร์เนี่ยนะครับ เขาจะมีหน่วยงานดูแลนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะเลย ทำให้แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่ได้ภาษาจีนเลย แต่ว่ามีหน่วยงานประเภทมีคนดูแลอยู่ก็อุ่นใจได้เยอะเหมือนกัน ที่อยากจะให้พี่จุ๊บเนี่ยแนะนำให้มากกว่านี้อีกนิดนึง เพราะว่าสายนี้เนี่ยในไต้หวันและมหาลัยของพี่จุ๊บถือว่าเป็นมหาลัยที่ดังมากๆของสายวิทยาศาสตร์สุขภาพในไต้หวันเลย ?
Jub: เท่าที่พี่ทราบมานะครับ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็มีคนให้มาสมัครอยู่เรื่อยๆ แต่อาจจะไม่เยอะ ที่เห็นก็คือน้องหลายคน ติดตัวจริงบ้างติดสำรองบ้าง แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่เลือกมาเรียนอยู่ดี อาจจะเป็นเพราะว่าไม่รู้จักชื่อมหาลัยนี้มาก่อน แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าในเรื่องของส่วนทุนการศึกษา อันนี้อยากจะเป็นตัวแทนมหาลัยขายของนิดนึงเนาะ ก็คือว่า ที่เห็นนักศึกษาจากประเทศในเอเชียที่อื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่เขาไม่ได้ทุนหลักๆอย่างเช่นทุน icdf หรือทุน moe เขาก็สามารถเข้ามาเรียนได้ เพราะว่าในส่วนของมหาลัยเองเนี่ยก็มีทุนของมหาลัยเองเช่นกัน ซึ่งก็ครอบคลุมในส่วนของค่าเทอมนะครับ แล้วก็อาจจะมีในส่วนของค่าใช้จ่ายรายเดือนให้พอประมาณเช่นกัน หรืออาจจะหาได้เพิ่มเติมจากการเป็น TA หรือว่าผู้ช่วยสอนเนาะ ต่างชาติหลายคนก็จะใช้ช่องทางนี้นี่แหละที่จะช่วยในแง่ของเรื่องการเงินนะครับ เช่น ชาวเวียดนาม กับอินโดนีเซีย เขาจะมาเรียนกันเยอะเลยทีเดียวครับ
เอาจริงๆเลยนะครับ ถ้าเทียบกับเรียนที่เมืองไทยในสถาบันดังๆอย่างเช่นจุฬา มหิดล บางทีการไปเรียนต่อที่ใต้หวันอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำนะครับ เพราะด้วยความที่มันเป็นสถาบันของรัฐนี่นะครับ เขาจึงไม่สามารถขึ้นค่าเรียนให้มันสูงกว่านักศึกษาชาวไต้หวันมากได้นะครับ แต่ว่าก็ต้องบอกก่อนว่า ถ้าไม่ได้พักในหอพักข้างในมหาวิทยาลัย แล้วพักในหอนอก ตรงนี้ก็อาจจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าเหมือนกันนะครับ (เพราะค่าที่พักที่ไทเปค่อนข้างสูง) แต่โดยรวมนะครับ ถ้าถามพี่ถ้าสมมุติว่าพี่ไม่ได้ทุน icdf แล้วพี่จะมาเรียนเองหรือเปล่าเนี่ย พี่ก็ตอบว่าพี่คงมา เพราะค่าใช้จ่ายมันไม่ได้โหดร้ายมากเกินไป เปรียบเทียบกับคุณภาพที่ได้ และความเชี่ยวชาญของอาจารย์นะครับ โดยเฉพาะกับพี่ที่เป็นคนต่างจังหวัด ถ้าเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องมาเรียนในกรุงเทพฯ มันอาจจะไม่ได้ต่างกันมากนะครับ
Orimos: ขั้นตอนการสมัครเรียน โดยเฉพาะขั้นตอนการเตรียมเอกสาร มีความยุ่งยากมากไหมครับพี่จุ๊บ ?
Jub: ในส่วนของ NYCU โดยเฉพาะโปรแกรม International Health เปิดมาตั้งแต่ปี 2003 เพราะฉะนั้นเขาจะมีประสบการณ์ในการดูแลนักเรียนต่างชาติค่อนข้างเยอะ ดังนั้นขั้นตอนและกระบวนการในการสมัครสมัครที่ถือว่าไม่ยุ่งยากเลย สามารถอัพโหลดเอกสารต่างๆขึ้นบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยได้อย่างง่ายดาย แค่เตรียมเอกสารตามที่เขาต้องการก็เรียบร้อยแล้วครับ
ในส่วนของการเตรียมเอกสาร จริงๆแล้วไม่ว่าจะสมัครเรียนต่อที่ประเทศไหนก็ตาม เขาก็จะมีกฎเกณฑ์หรือวิธีการในแบบของเขาอยู่แล้วนะครับ เราก็จำเป็นที่จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของเขาแค่นั้นเอง
นอกจากนั้นในส่วนของโปรแกรมของพี่นะครับ จะไม่มีการสอบสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นเรามีข้อดีมีจุดเด่นอะไร แนะนำให้ใส่เข้าไปให้เต็มที่ในช่วงของการเตรียมเอกสารนะครับ เพราะว่าอาจารย์หรือคณะกรรมการเนี่ย เขาจะคัดเลือกจากเอกสารที่คุณส่งไปเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการคัดเลือกพี่ขอแอบกระซิบเลยว่าค่อนข้างเข้มข้นนะครับ เพราะว่าพี่เคยเข้าไปช่วยเขาคัดเลือกเหมือนกันครับ อันนี้ต้องบอกก่อนนะว่า พี่เป็นคนไทยคนแรกในช่วง 10 ปีนี้ที่มาเรียนโปรแกรมนี้และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยากที่จะส่งเสริมให้น้องๆคนไทยมาเรียนที่นี่เพิ่มมากขึ้น

Orimos: ปกติเรียนปริญญาเอกที่ไต้หวัน จะเรียนกันประมาณกี่ปีหรอครับ ?
Jub: อันนี้มีความแตกต่างจากเมืองไทยนิดนึงเหมือนกันนะครับ ประเด็นแรก โดยเฉพาะน้องๆคนไหนที่ต้องลามาเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชนเนี่ยนะครับ โดยมากก่อนลาเขาก็จะให้เราระบุใช่ไหมครับว่าเราต้องการเวลาทั้งหมดกี่ปีและหลักสูตรนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี แต่ต้องบอกก่อนว่าที่ไต้หวันจะไม่มีคำว่าระยะเวลาในการศึกษาสำหรับปริญญาเอกนะครับ อย่างเช่นในหลักสูตรของพี่เองเนี่ย เขาจะไม่กำหนดชัดเจนนะครับว่าจะใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี แต่เขาจะกำหนดเป็นช่วงเวลาให้ว่า ระยะเวลาที่เรียนจะใช้ทั้งหมด 2 ถึง 7 ปี เพราะโดยหลักการแล้วการเรียนปริญญาเอกจะขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามอย่างต่ำก็ต้องเรียน 2 ปี เขาว่ามันมี course work ที่ต้องเรียนนะครับ คือที่มหาวิทยาลัยของพี่เขาจะเป็นลักษณะคล้ายๆประเทศอเมริกานะครับ คือไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานมาอย่างไร ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานก่อน ก่อนที่จะไปทำวิจัยนะครับ ส่วนการเรียนภายใน 2 ปีนี้ ถามว่าทำได้ไหม มีคนทำได้นะครับ อย่างเช่นเพื่อนคนนึงมาจากอินโดนีเซีย เขาสามารถจบภายใน 2 ปีได้ แต่ต้องบอกเลยว่าเขาทำงานหนักมากๆจริงๆนะครับ
ส่วนของพี่เองตอนที่พี่ลามาเรียนต่อ พี่บอกหน่วยงานของพี่ว่าพี่ขอลาทั้งหมด 4 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทุนให้เราในการเรียนปริญญาเอกครับ
Orimos: แสดงว่าทุน icdf ให้เวลาเรียนปริญญาเอกทั้งหมด 4 ปีใช่ไหมครับ ?
Jub: ใช่ครับ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อ้างอิงจากความเป็นจริงมากๆเลยครับ เพราะว่าในไต้หวันในสายของพี่เนี่ย ถ้าทุนให้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี มีความเป็นไปได้สูงเลยว่าปีสุดท้ายอาจจะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
Orimos: นอกจากด้าน Public Health Data หรือว่าทางด้านข้อมูลทางด้านสุขภาพสาธารณะเนี่ยนะครับ ไต้หวันยังมีด้านสาธารณสุขอื่นๆที่เด่นอีกไหมครับ ?
Jub: ถ้างั้นพี่ขอเป็นแบบที่ต้องทำ Lab กลับไม่ทำ Lab แล้วกันเนาะ ในกลุ่มที่ไม่ต้องทำ Lab โดยเฉพาะในด้าน Big Data หรือในด้านที่ต้องการเอาข้อมูลมาวิจัยและคาดเดาอนาคต พูดได้เลยว่าที่นี่มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญค่อนข้างเยอะมากนะครับ และในไต้หวันนี้นะครับ เขาจะมีเขาเรียกว่าภาคีของมหาวิทยาลัยหรือกลุ่มของมหาวิทยาลัย ซึ่งเวลาที่เขาทำวิจัยเขาจะมาทำด้วยกันนะครับ อย่างอาจารย์ที่อื่นอาจจะเก่งในเรื่องนี้ เราก็อาจจะเชิญเขามาเป็นแอดไวเซอร์ในทีสิตของเราได้เช่นกัน ในแง่ของการทำวิจัย ความเป็นสถาบันของที่นี่จะน้อยมาก
ในส่วนของคนที่ต้องทำ Lab สาขาที่มีความโดดเด่นของที่นี่มากๆเลยก็คือ สาขาพันธุศาสตร์ Medical Genetics ซึ่งที่นี่มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์กันเป็นว่าเล่นเลยครับในเรื่องนี้ หรือประสาทวิทยา Neuroscience ก็มีความโดดเด่นเช่นกันครับ ซึ่งในส่วนนี้แนะนำให้ลองเข้าไปในเว็บไซต์ของแต่ละโปรแกรมดูนะครับว่ามีรายละเอียดแตกต่างกันยังไงบ้าง
Orimos: เท่าที่ฟังดูดูมีข้อดีเยอะมากเลยครับ อยากให้พี่จุ๊บลองแนะนำนิดนึงว่ามีข้อเสียข้อควรระวังอะไรบ้าง ?
Jub: อันนี้พี่ไม่รู้ว่าเป็นข้อเสียหรือเปล่านะ เติมคือต้องเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยของพี่เนี่ย วิทยาเขตจะตั้งอยู่บนภูเขา เพราะฉะนั้นอาจจะต้องมีการเดินขึ้นลงเขาค่อนข้างเยอะนิดนึง ลองจินตนาการอย่างเช่นมชนะครับ คือมชเนี่ยจะตั้งอยู่บนพื้นราบถูกม่ะ แล้วก็มีดอยสุเทพเป็นทิวทัศน์ แต่คือของพี่เนี่ยเหมือนมหาวิทยาลัยตั้งอยู่บนดอยสุเทพอย่างนั้นเลยอ่ะ
แล้วก็คนที่ติดแต่งสีหรือว่าชีวิตในเมืองเนี่ยนะครับ ต้องบอกเลยว่ามหาลัยของพี่ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นเลย คือถ้าพูดจริงๆที่ตั้งของมหาวิทยาลัยในไต้หวันส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้มีลักษณะของการที่แคมปัสอยู่ในเมืองอะไรขนาดนั้น
อีกเรื่องนึงน่าจะเป็นเรื่องของภาษา คือถ้าเราพูดภาษาจีนไม่ได้นะครับ อยู่ไหนแคมปัสของมหาวิทยาลัยจะไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้น แต่ว่าเมื่อเราออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ช่วง 6 เดือนแรกอาจจะมีปัญหาในการสื่อสารบ้าง เพราะว่าสิ่งรอบตัวเป็นภาษาจีนทั้งหมดเลย แต่ดีหน่อยที่โปรแกรมของพี่มีให้เรียนภาษาจีนฟรี 2 คอร์ส เพราะค่าเทอมที่มหาลัยของพี่เป็นลักษณะเหมาจ่ายอยู่แล้ว เราก็สามารถลงเรียนคอร์สภาษาจีนได้ฟรีๆเลยเช่นกันครับ
Orimos: ในส่วนของการเรียนภาษาจีนฟรีอันนี้ก้องว่าไม่น่าจะเป็นข้อเสียนะครับ (หัวเราะ) แต่ดูแล้วมหาวิทยาลัยเข้าใจว่านักศึกษา จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ภาษาจีนกลางเล็กน้อย เพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่ยากจนเกินไป อันนี้ถามต่อนิดนึงนะครับ ไต้หวันก็ถือว่าเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกแห่งหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเราจะได้ยินชื่อเสียงมากๆเลยจากประเทศเช่นญี่ปุ่นหรือเกาหลี วิธีการเรียนปริญญาเอกโดยเฉพาะในทางด้านสายวิทยาศาสตร์ จะมี seniority ที่สูงมากๆ และเน้นทำงานหนักมากๆ ในส่วนนี้ไต้หวันเป็นยังไงบ้างครับ ?
Jub: ขอแยกเป็น 2 ขาแล้วกันนะครับ ทำ Lab กับไม่ทำ Lab
อันที่ไม่ทำ Lab ของ NYCU นะครับบรรยากาศที่นี่คือดีมากๆ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์ที่จบมาจากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ที่นี่มีอาจารย์รุ่นใหม่ค่อนข้างเยอะ ที่นี่คือจะมีลักษณะเป็นตะวันตกค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เท่าที่พี่สังเกตนักศึกษาต่างชาติ จะไม่ช็อคอะไรขนาดนั้น และอาจารย์ใช้ภาษาอังกฤษดีมาก ของ NYCU คืออาจารย์จะไม่หลุดจีนเลย แต่ก็ต้องบอกว่าบางที่ในไต้หวันอาจจะมีหลุดบ้าง ในส่วนของความอาวุโส เนื่องจากเป็นประเทศในเอเชียนะครับ มันก็ยังมีบ้างแต่พี่พูดเลยว่ามันไม่ได้เข้มข้นเท่าพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่นเลย แต่ในส่วนของพวกที่ต้องใช้ Lab พี่ก็คิดว่าอาจจะมีความอาวุโสมากกว่านิดนึงเหมือนกันนะครับ มันก็เป็นธรรมชาติของพวกนั้นแหละเนาะ
Orimos: หลังจากเรียนจบแล้ว พี่จุ๊บวางแผนที่จะไปเป็นอาจารย์ที่เมืองไทยใช่มั้ยครับ ?
Jub: ใช่ครับ เพราะทุกวันนี้ก็ยังรับเงินเดือนเขาอยู่ (หัวเราะ) ก็ลามาเรียนอะเนาะ
Orimos: แล้วนอกเหนือจากการเรียนล่ะครับ การใช้ชีวิตในไทเปพี่จุ๊บ Happy ดีไหม ?
Jub: อันนี้ต้องบอกเลยว่า ถ้าคนที่เป็นเด็กกรุงเทพฯแล้วติดแสงสีอะไรประมาณนี้นะครับ อาจจะรู้สึกว่าไทเปน่าเบื่อนิดนึง เพราะว่ามันอาจจะไม่มี Entertainment เยอะเท่ากรุงเทพฯ
แต่สำหรับคนวัยกลางคนอย่างพี่เนี่ย มันก็มีอะไรให้พี่เรียนรู้เยอะเช่นกัน แล้วก็ถึงแม้ว่าพี่อาจจะเรียนหนักบ้างนะครับ แต่ว่ามันก็ยังพอมีเวลาให้เราออกไปเที่ยว ไปเจอสิ่งใหม่ๆอีกเช่นกัน โดยส่วนตัวถ้าถามว่าพี่มีเจอ culture Shock บ้างไหม ก็ต้องบอกเลยว่าพี่อาจจะโชคดีที่โดยส่วนตัวเราเป็นคนอัธยาศัยดี เราก็เคยมีประสบการณ์การทำงานกับคนต่างชาติมาค่อนข้างเยอะ พี่ก็เลยไม่ได้เจออะไรที่น่าตกใจมากนะครับ บางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องของการสื่อสารในเรื่องของภาษาบ้าง แต่โดยส่วนตัวพี่ก็คิดว่าเอาตัวรอดได้
เราอาจจำเป็นจะต้องไปสำรวจหรือลองไปใช้ชีวิตในเมืองที่เราใช้ชีวิตอยู่ปัจจุบันนี้บ้างนะครับ จะทำให้เราคุ้นชินแล้วก็ปรับตัวได้ง่ายขึ้น ยังพี่จะอยู่ในเขต Beitou ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของน้ำพุร้อน อันนี้เราก็ไปเที่ยวเล่นได้เลยครับ หรือที่อื่นในไทเปก็น่าสนใจเช่นกันสามารถลองไปเที่ยวเล่นดูได้เลยครับ
ส่วนตัวพี่ว่าไทเปมีครบทุกรสชาติเลยนะ ทั้งภูเขา ทะเล น้ำพุร้อน มีหมดเลย มันมีการรวมตัวของเมืองและธรรมชาติได้อย่างดี

Orimos: แล้วพี่จุ๊บประทับใจอะไรที่สุดกับการใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวัน ?
Jub: ถ้าให้เลือกสิ่งเดียว พี่คิดว่าพี่ประทับใจมหาวิทยาลัยของพี่ NYCU เพราะทุกอย่างมัน Beyond expectation คือก่อนที่มา พี่ก็เตรียมใจไว้แล้วแหละว่า มันน่าจะมีอะไรที่ต้องจุกจิกหรือรำคาญใจเหมือนกัน เหมือนกับระบบมหาวิทยาลัยในเมืองไทย แต่ปรากฏว่า พอมาถึงจริงๆแล้วสามารถใช้ชีวิตได้อย่างง่ายมากเลย โดยเฉพาะกับการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆในมหาวิทยาลัย มันเลยทำให้พี่ประทับใจค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะคนไต้หวันที่พี่ประทับใจ เพราะว่าคนไต้หวันเนี่ย เวลาเขาต้องการจะช่วยเหลือเรา เขาจะช่วยจนถึงที่สุดจริงๆ จนกว่าปัญหาของเราจะถูกแก้ พี่จำได้ว่าตอนมาแรกๆแล้วพี่ต้องการเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารของพี่ตอนนั้นเขาไม่ให้คนต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาจีนมาเปิดโดยตรง ธนาคารบอกว่าจำเป็นที่จะต้องมีคนไต้หวันมาด้วย 1 คน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจก่อนที่เราจะเซ็นสัญญาเอกสารใดๆก็ตาม เราก็เลยลองติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ของโปรแกรม เขาก็มากับเราแล้วก็มาช่วยเราทำทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่ว่าบอกวิธีการแล้วให้เราไปทำเอง
Orimos: สุดท้าย อยากให้พี่ช่วยรีวิวนิดนึง ในส่วนของการขอทุน icdf ระดับปริญญาเอก ?
Jub: เอาเฉพาะระดับปริญญาเอกนะครับ ทุน icdf พูดตรงๆเท่าที่เคยคุยกับเจ้าหน้าที่ของทุนมา ให้ยากมาก เพราะว่าการให้ทุนนักศึกษาปริญญาเอก 1 คน สามารถให้ทุนนักศึกษาปริญญาโทได้ 2 คนเลย
นอกจากนั้นมีคนถามมาเยอะเหมือนกันว่า แล้วคนที่มีคุณสมบัติที่จะได้ทุน จะเป็นคนลักษณะแบบไหน จำเป็นจะต้องมีประสบการณ์มาก่อนไหมหรืออะไรยังไง อันนี้พี่พูดเลยนะว่าพี่ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเลยคือ คนที่สมควรที่จะได้รับทุนเนี่ยนะครับ เขาจะดูว่าควรจะเป็นคนที่มีความสามารถที่จะนำความรู้กับไปประเทศ แล้วไปสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในประเทศของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นระหว่างคนที่มีความพร้อมแล้วที่จะเติบโต กับคนที่อาจจะต้องพัฒนาอีกเยอะเลย เขาก็อาจจะเลือกที่จะให้คนแรกมากกว่า
ในส่วนของกระบวนการคัดเลือกในระดับปริญญาเอกนะครับ ก่อนอื่นเลยเราก็จำเป็นที่จะต้องกลับไปที่สำนักงานเศรษฐกิจก่อน งั้นเขาก็จะคัดเลือกตัวแทนว่าจะมีเหลือกี่คน ซึ่งปกติในแต่ละปีเนี่ยเขาจะมีสัดส่วนอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้หรอกว่าอะไรเท่าไหร่นะครับ สมมุติปีนี้เมืองไทยมี แคนดิเดตในระดับปริญญาเอก 2 คน ชื่อของเราก็จะถูกส่งไปที่มหาวิทยาลัยที่เราสมัครไป ที่นี่มหาวิทยาลัยก็จะทำการคัดเลือกคุณสมบัติของเรา ถ้าเราผ่าน แน่นอนว่าเราจะได้ที่เรียนในมหาวิทยาลัย แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องมาลุ้นอีกว่า มหาวิทยาลัยของเรา จะส่งชื่อเราไปเป็นผู้ท้าชิงในรอบสุดท้ายอีกหรือเปล่า โดยมหาวิทยาลัยจะจัดลำดับผู้ท้าชิง ว่าใครสมควรที่จะได้รับทุนมากที่สุด เพราะฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดมันจะมี 3 รอบนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติว่าเราผ่านมาจากเมืองไทย แต่เราอาจจะมาตกในรอบมหาวิทยาลัยก็ได้ ถ้ามีการแข่งขันสูงมาก
แต่พี่ก็อยากจะให้กำลังใจ สำหรับคนที่อยากจะสมัครมาเรียนต่อในด้านนี้นะครับ พี่บอกแล้วว่าคนไทยมีโอกาสได้สูงมาก เพราะเวลาเขาเลือกเขาก็ต้องการให้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพราะฉะนั้นถ้าคนไทยมีโปรไฟล์ค่อนข้างดีมา สมมุติว่าถ้ามีลำดับ 5 ลำดับ คนไทยจะไม่เกินอันดับ 3 แน่นอน
ส่วนในด่านที่ 3 นะครับ เมื่อมหาวิทยาลัยทำการตัดสินใจในอันดับของเราแล้ว ชื่อของเราก็จะถูกส่งไปที่ส่วนกลางของ icdf หลังจากนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าเขาจะมีวิธีการตัดสินใจเลือกอย่างไร เพราะฉะนั้น แม้มหาวิทยาลัยจะจัดลำดับเราให้อยู่อันดับต้นๆ แต่ถ้าส่วนกลางไม่ให้ทุน อาจจะไม่มีคนได้ทุน icdf ในมหาลัยนี้ในปีนั้นเลยก็ได้ แล้วแต่กรรมการส่วนกลางอีกทีนึงว่าเขาตัดสินใจจะให้ใครและประเทศไหน ซึ่งมันก็จะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาตัดสิน แต่ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีใครรู้เลย
คือสุดท้ายแล้วอ่ะครับ สำหรับทุนนี้นะ นอกจากเราจะต้องใช้ความสามารถของเราแล้ว เราอาจจะต้องพกดวงมาด้วย
แต่ยังไงก็แล้วแต่เนี่ยพี่อยากให้ทุกคนลองสมัครมาดูนะครับ เพราะมหาวิทยาลัยที่พี่มาเรียนเนี่ย NYCU แม้ว่าคนไทยอาจจะไม่รู้จักมาก แต่สำหรับคนไต้หวันแล้ว ในแง่ของสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและดังมากๆ และถึงแม้ว่าคนไทยจะไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงนะครับ แต่ว่าในส่วนของเพื่อนบ้านเราโดยเฉพาะประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย เขาแข่งขันกันเพื่อให้ได้เข้ามาศึกษาต่อที่นี่นะครับ จริงๆคณบดีเคยพูดกับพี่นะครับ ว่าเขาอยากได้เด็กไทยที่มีคุณภาพเพิ่มอีกเยอะมาก
แล้วก็สำคัญมากๆเลยครับสำหรับคนที่มาเรียนปริญญาเอก หลายๆคนอาจจะดู ranking ของมหาวิทยาลัย แต่พี่อยากจะให้ดูในส่วนของแรงกิ้งในสาขาที่เราอยากมาศึกษาด้วยนะครับ เพราะบางครั้งแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะมี Ranking ที่สูง แต่ในส่วนที่เราต้องการจะมาศึกษา อาจจะมีที่อื่นที่เชี่ยวชาญมากกว่านั้นก็ได้
Orimos: สุดท้ายจริงๆแล้วครับ อยากให้ฝากนิดนึง สำหรับคนที่อยากเรียนปริญญาเอกในไต้หวัน มีอะไรที่ควรจะต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษบ้างครับ ?
Jub: จริงๆพี่ว่าไปประเทศไหนก็เตรียมตัวไม่ต่างกันนะ อันดับแรกเลยคือเราต้องเตรียมใจที่จะต้องพบเจอกับความแตกต่าง สำหรับคนที่ไม่ชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว อาจจะต้องปรับตัวเยอะนิดนึง นอกจากนั้นในไต้หวันสำหรับคนที่อยากจะมาเรียนระดับปริญญาเอก ส่วนใหญ่ที่นี่จะต้องการให้เราเรียน Course work เพราะฉะนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวในส่วนของการที่จะมานั่งเรียนและมานั่งสอบด้วย
นอกจากนั้นก็เป็นในส่วนของ soft skill ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการนำเสนอหรือว่าการพูดคุยนะครับ
สุดท้ายพี่ขอแนะนำโปรแกรมตัวเองนิดนึงนะครับ หลายๆคนมาเห็นในส่วนของคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าเรียน อาจจะมีความกลัวในส่วนของคะแนนภาษาอังกฤษ อันนี้ไม่ต้องกลัวนะครับ อยากเป็นกำลังใจให้ลองสมัครมาก่อน แต่ว่าคะแนนอาจจะไม่ถึงเกณฑ์ เพราะว่าบางครั้งถ้าส่วนอื่นของเราดีคณะก็มีสิทธิ์รับเราเช่นกันครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับประสบการณ์การเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่ไต้หวัน หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถเข้ามาพูดคุยกับทางโอริมอสได้เลยนะครับ คิดถึงการเรียนไต้หวัน คิดถึงโอริมอสนะครับ
No Comments